วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋องต่อวัน เสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวมากขึ้นไม่รู้ตัว !

ดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋องต่อวัน เสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวมากขึ้นไม่รู้ตัว !



     โทษของน้ำอัดลมจากที่เสี่ยงโรคเบาหวาน มะเร็ง โรคอ้วน และโรคอัมพาต ตอนนี้นักวิจัยเผยว่าแค่ดื่มน้ำอัดลมวันละ 1 กระป๋อง ก็เสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้นได้อีก !

         หลายคนรู้ทั้งรู้ว่าน้ำอัดลมไม่ได้ให้ประโยชน์กับสุขภาพสักเท่าไร แต่ใจก็ยังแพ้รสชาติหวานซ่าจากน้ำอัดลมที่ดื่มแล้วชื่นใจทุกที ยิ่งบางคนขอแค่ได้ดื่มสักวันละกระป๋องก็สบายใจ โดยที่หารู้ไม่ว่านั่นคือการพาตัวเองไปสู่ความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวชัด ๆ ไม่เชื่อมาดูงานวิจัยกันเลย

         โดยนักวิจัยชาวสวีเดนได้เก็บสถิติจากกลุ่มผู้ทดลองวัยกลางคนในช่วงอายุระหว่าง 45-79 ปี ราว 42,400 คน ต่อเนื่องยาวนานกว่า 12 ปี โดยที่กลุ่มผู้ทดลองเหล่านี้ก็รับประทานอาหารและเครื่องดื่มตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ทว่าเรื่องมาแดงตรงที่ระหว่างการทดลอง มีผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวหน้าใหม่เกิดขึ้นเป็นจำนวน 3,604 คน และมีเคสผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้วถึง 509 คน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงก็ทำให้ทราบว่า ผู้ป่วยเหล่านี้มีพฤติกรรมบริโภคน้ำอัดลมทุกวัน

         ทางทีมวิจัยจากสถาบันแคโรลินสกา ในสตอกโฮล์มจึงได้ข้อสรุปว่า พฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมวันละ 200 มิลลิลิตร อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวได้ถึง 23% เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ได้ดื่มน้ำอัดลมหรือดื่มน้ำอัดลมน้อยมาก
 
      ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้การดื่มน้ำอัดลมทุกวันเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวก็เพราะว่า ปริมาณน้ำตาลที่มากกว่า 7 ช้อนชาในน้ำอัดลม จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงความดันเลือดและส่งผลกระทบไปถึงการสูบฉีด รวมทั้งระบบภายในต่าง ๆ จนอาจทำให้หัวใจทำงานผิดปกติได้ อีกทั้งธรรมชาติของมนุษย์เมื่อได้บริโภครสหวาน ความอยากอาหารอื่น ๆ ก็จะลดลง นำมาซึ่งการบริโภคอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ใช่แนวทางที่ดีต่อสุขภาพเลยจริง ๆ

         อย่างไรก็ดี ผลการวิจัยไม่ได้เหมารวมไปถึงการบริโภคน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มประเภทชาและกาแฟ ทว่าจุดสำคัญที่ทำให้น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลวได้อยู่ที่สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลนั่นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการศึกษาหลาย ๆ ชิ้นที่ออกมาเตือนว่าการบริโภครสหวานจัดเกินไป (บริโภคน้ำตาลมากกว่า 7 ช้อนชาต่อวัน) โดยเฉพาะการบริโภคสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลจากเครื่องดื่มสำเร็จรูปเหล่านี้อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคอัมพาต โรคอ้วน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจล้มเหลวในเวลาต่อมาได้

         ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีเราไม่ควรบริโภครสหวานเกินไป รวมทั้งรสเค็มและรสมันก็ไม่ควรให้เกินพอดีด้วยนะคะ เท่านี้ก็จะทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้แล้ว


ที่มา: http://health.kapook.com/view133241.html

มิกซ์เบอร์รี่ ( Mixed Berry Extract )

มิกซ์เบอร์รี่ ( Mixed Berry Extract )




ประโยชน์ของ มิกซ์เบอร์รี่

ไม้ในกลุ่มเบอร์รี่มีมากมาย เช่น บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ เป็นต้น สีจัดจ้านของผลไม้กลุ่มนี้ใช่ว่าจะดูเพียงน่ารัก น่ารับประทานแต่เปี่ยมไปด้วยคุณค่ามหาศาล

เรามาดูประโยชน์ของบลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ กันเลย

บลูเบอร์รี่ (Blueberryมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ประกอบด้วยปริมาณใยอาหารสูง โดยเฉพาะเพคติน ทำหน้าที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และฟื้นฟูความจำให้ดีขึ้นในคนชรา
ราสเบอร์รี่ (Rasberry) สุดยอดผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณ ประโยชน์ต่างๆมากมายแก่ร่างกาย โดยเฉพาะ "สารต้านอนุมูลอิสระ"  ส่วนสารสีแดงในราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติช่วยให้การหมุนเวียนของโลหิต เป็นปกติ และยังอุดมด้วยวิตามินA , B ช่วยให้ผิวพรรณสดใส สมานแผลต่างๆให้หายเร็วขึ้น
แครนเบอร์รี่ (Cranberry) สามารถแก้ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ดี เพราะมีสารแทนนินเข้มข้นอยู่ในแครนเบอร์รี่ ช่วยต่อต้านแบคทีเรีย (anti-biotic)  ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะเกิดอาการติดเชื้อนั่นเอง

ประโยชน์ของ มิกซ์เบอร์รี่
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูง ที่ช่วยต้านการทำลายเซลล์ของร่างกาย
- ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยดูแลเส้นเลือดฝอยให้แข็งแรง
- ช่วยชะลอความแก่ บำรุงร่างกายและช่วยให้ความจำดีขึ้นในคนชรา
- มีส่วนช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายสูงวัย โดยจะมีผลให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น
- สรรพคุณบรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ลดเลือนผิวหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยก่อนวัย
- ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ
- สามารถเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจน
- ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น
- ช่วยต่อต้านอาการป่วยเรื้อรังของสมอง อย่างอาการความจำ
- ช่วยลดกรดไขมันในเส้นเลือด

ที่มา: http://www.beautyordershop.com/store/article/view/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89!!!-136260-th.html

สาหร่ายเกลียวทอง (spirulina)





                   สาหร่ายเกลียวทอง คือ สาหร่ายหลายเซลล์ สีเขียวแกมน้ำเงิน ที่อุดมด้วยคุณค่าทางสารอาหารครบ 5 หมู่ เพียบพร้อมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการย่อยสลาย และดูดซึมง่าย เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและไม่มีผลข้างเคียงเมื่อรับประทาน ติดต่อกันเป็นเวลานาน สาหร่ายเกลียวทอง หรือเรียกอีกชื่อว่า สาหร่ายสไปรูลิน่า (spirulina) ซึ่งการค้นพบว่าสาหร่ายเกลียวทองมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 18 ชนิด วิตามินบี ธาตุเหล็ก ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทและเซลล์สมอง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานผัก ผลไม้ แม้กระทั้งการออกกำลังกาย ปัจจุบันสาหร่ายเกลียวทองเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกว่า 70 ประเทศทั่วโลก และองค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่า สาหร่ายเกลียวมองเป็นอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษและมีคุณค่าทางอาหารไม่มีสารตกค้าง สามารถใช้บริโภคได้อย่างดี มีรายงานผล การวิจัยอย่างมากมายว่าสาหร่ายเกลียวมองสามารถให้ผลดีต่อการบำรุงและเสริมการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มากมายซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคสมัยนี้
ประโยชน์ของสาหร่ายเกลียวทอง
1.) สาหร่ายเกลียวทอง ช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
2.) สาหร่ายเกลียวทอง ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น
3.) สาหร่ายเกลียวทอง ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
4.) สาหร่ายเกลียวทอง ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส เปล่งปลั่ง
5.) สาหร่ายเกลียวทอง ช่วยลดกรดและเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร
6.) สาหร่ายเกลียวทอง ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
7.) สาหร่ายเกลียวทอง ช่วยป้องกันการเกิดโรคตับแข็ง
8.) สาหร่ายเกลียวทอง ช่วยขับล้างสารพิษ โดยเฉพาะพิษจากแอลกอฮอล์
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของประโยชน์บางส่วนของสาหร่ายเกลียวทอง ซึ่งทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากมายในปัจจุบัน แล้วยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในขณะนี้ เพราะมีประโยชน์และคุณค่ามากมาย อีกทั้งยังรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย รับประทานง่าย และนี่คือเหตุผลต่างๆนานา ที่ทำให้สาหร่ายเกลียวทองเป็นที่นิยมและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก
  
ที่มา:  http://www.thaibio.com/%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87

มะเขือเทศ

 มะเขือเทศ ( Tomato )



               มะเขือเทศ ( Tomato ) เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด

                ลักษณะเป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม มีขนอ่อน ๆ ปกคลุม ใบเป็นใบประกอบ ออกสลับกัน ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน บางใบเล็กรียาว บางใบกลมใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักลึกคล้ายฟันเลื่อยมีขนอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยว บริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงสีเขียวประมาณ 5-6 กลีบ ผลเป็นผลเดี่ยว มีขนาดรูปร่างและสีต่างกัน ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร จนถึงใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี ผิวนอกลีบเป็นมัน ผลดิบมีสีเขียว หรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำมีรสเปรี้ยว เมล็ดมีเป็นจำนวนมาก มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์สีดา พันธุ์โรมาเรดเพียร์ เป็นต้น
 


ประโยชน์ของมะเขือเทศ


1.) มะเขือเทศมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้
2.) มะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ ไลโคปีน ที่มีคุณสมบัติสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ หากทานมะเขือเทศ 10 ครั้ง/สัปดาห์ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีบีตา-แคโรทีน และฟอสฟอรัสมาก ที่มะเขือเทศมีรสชาติอร่อยนั้น เพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อกลูตามิคสูง กรดอะมิโนนี้เองเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร ทั้งยังเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วย
3.) รักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่ม
4.) ในผลมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูง มีกลดมาลิค กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค (Glutamic) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารบีตา-แคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น
5.) มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมี วิตามินพี (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย
6.) ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย
7.) ซอสมะเขือเทศสามารถนำมาใช้หมักผมได้ โดยจะช่วยป้องกันการเปลี่ยนไปของสีผมอันเนื่องมาจากการว่ายในน้ำในสระที่มี คลอรีน และยังนำมาใช้ขัดเครื่องประดับเงินชิ้นโปรดของคุณให้เงางามได้เหมือนเดิม



ที่มา:
http://www.thaibio.com/%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-tomato


กินวิตามินมากๆ ดีจริงหรอ

กินวิตามินมากๆ ดีจริงหรอ?



                   นอกจากการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพร่างกายแล้ว หลายคนมักเลือกการทานวิตามินเป็นอาหารเสริม ซึ่งการทานวิตามินกำลังกลายเป็นเทรนด์ฮิตทั้งในไทยและต่างประเทศ มีทั้งวิตามินช่วยเสริมเรื่องสุขภาพให้แข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันโรคมะเร็ง ไขมัน ความดัน ฯลฯ ไปจนถึงวิตามินประเภทที่ช่วยในเรื่องของความงามต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่าการทานวิตามินมากเกินไปนอกจากจะเปลืองเงิน และไม่ได้ช่วยให้คุณสุขภาพดีแล้ว ยังสามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้อีกด้วย
                สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษตีแผ่วัฒนธรรมการกินวิตามินพร่ำเพรื่อที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกโดยเปิดเผยผลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่พบว่าการกินวิตามินเอเบตาแคโรทีน และวิตามินอี รวมถึงสารแอนติออกซิแดนท์ต่างๆ มากเกินไปในระยะเวลานานๆ นอกจากจะไม่ได้ส่งผลให้สุขภาพแข็งแรงและป้องกันโรคแล้ว ยังส่งผลให้เกิดโรคหลายอย่างตามมา
                วิตามินเอที่มากเกินไป หรือเกิน 3,000 ไมโครกรัมต่อวันในผู้ใหญ่ เคยทำให้คนตายมาแล้ว ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เคยมีนักสำรวจ ขั้วโลกที่เสียชีวิตจากการกินตับสุนัขลากเลื่อนทำให้มีการค้นพบว่าตับสุนัขมีวิตามินเอสูงมาก และการกินตับสุนัข 100 กรัมก็สามารถฆ่าคนได้ หรือถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินไปแต่ยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต ก็จะเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง ปากแห้ง ผิวแห้ง ผิวลอกเป็นชั้นๆ ได้ และสำหรับนักสูบบุหรี่ วิตามินเอก็ทำให้คุณเป็นมะเร็งปอดได้ง่ายขึ้น ส่วนซิงก์ที่ หนุ่มสาวชอบกินเพื่อแก้อาการผมร่วง หรือช่วยรักษาสิว หากกินมากเกินไปคือตั้งแต่ 100-150 มิลลิกรัม และกินติดต่อกันเป็นเวลานานจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิต้านทานต่ำลง และถ้ากินมากถึง 200 มิลลิกรัมขึ้นไป อาจทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสียและเป็นโรคโลหิตจางได้
                วิตามินรวมหลายๆ ชนิดแบบเบ็ดเสร็จในเม็ดเดียว ที่มักมาในรูปแบบของวิตามินบำรุงผม บำรุงสมอง หรือบำรุงสายตา ก็อันตรายมากเช่นเดียวกันเพราะนอกจากจะไม่สามารถคำนวณได้ว่ากินวิตามินอะไรเข้าไปเท่าไหร่ และที่กินเข้าไปนั้นมากเกินขนาดหรือไม่ วิตามินหลายชนิดยังขัดขวางการดูดซึมของกันและกัน เช่นแคลเซียมจะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กขัดขวางการดูดซึมทองแดง ทำให้การโด๊ปวิตามินตัวหนึ่ง อาจทำให้คุณขาดวิตามินอีกชนิดได้ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ได้หมายความว่าวิตามินเป็นสิ่งไม่ดีหรือไม่จำเป็น แต่ควรรับประทานเท่าที่จำเป็นหรือเท่าที่แพทย์แนะนำ อาทิ ผู้ที่ควรได้รับวิตามินเสริม คือหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องได้รับโฟลิกและวิตามินดีเพิ่ม คนอายุ 65 ปี และเด็กวัย 6 เดือน ถึง 5 ปี และคนที่ไม่ค่อยได้โดนแดด ควรได้รับวิตามินดี และสุดท้ายเด็ก 6 เดือน ถึง 5 ปี ทุกคนควรได้รับวิตามินเอ ซี และดีเสริม โดยเฉพาะเด็กที่ไม่สามารถกินอาหารที่หลากหลายได้


ที่มา : sanook.com

การทำงานหน้าจอนานๆ ระวังคอมพิวเตอร์จะเป็น แดร็กคูล่า "ดูด" เลือดคุณ

การทำงานหน้าจอนานๆ ระวังคอมพิวเตอร์จะเป็น แดร็กคูล่า "ดูด" เลือดคุณ



    ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ทำงานออฟฟิศ ผู้ที่ติดเกมส์หรือผู้ที่ชอบท่องในสังคมออนไลน์ไม่ว่าที่ไหนๆ เรามักจะเห็นคนที่นั่งจ้อง เดินจ้องสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตจนเพลิดเพลินโดยไม่สนใจคนรอบข้าง เรียกได้ว่าติดคอมพิวเตอร์หรือติดสมาร์ทโฟนมากกว่าติดแฟนเสียอีก
   หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมเสพติดคอมพิวเตอร์ โปรดฟังคำเตือนจากแพทย์จีน: คอมพิวเตอร์จะกลายเป็นแดร็กคูล่า "ดูด" เลือและทำลายสุขภาพคุณทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว เพราะการใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานจะทำลายเลือดในตับ
   หลายคนคงมีประสบการณ์กับการใช้สายตาหน้าคอมพิวเตอร์ หรือการอ่านหนังสือติดต่อกันนานเกินไปจะรู้สึกตาแห้ง ตามัว จริงๆ แล้ว ตาแห้งหรือตามัวเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ อาการที่แสดงว่าตาเราอ่อนล้าแล้วในทัศนะการแพทย์จีน การใช้สายตามากเกินไปจะทำลายเลือดในตับโดยตรง ทั้งนี้ เนื่องจากตาและตับเป็นอวัยวะที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นพิเศษโดยจะเกื้อหนุนและส่งผลกระทบโดยตรงซึ่งกันและกัน จึงมีสุภาษิตการแพทย์จีนว่า ตาเป็นหน้าต่างของตับ ส่วนหนึ่งในหน้าที่สำคัญของตับคือเก็บสะสมและรักษาความสมดุลของเลือดภายในร่างกาย ความสมบรูณ์ของเลือดในตับนอกจากจะทำให้ร่างกายของคนเราแข็งแรง สมบรูณ์ มีชีวิตชีวาแล้ว ยังมีผลโดยตรงที่จะทำให้ตาเรามองเห็นชัดเจน แยกสีได้อย่างแม่นยำ แต่ถ้าตับไม่แข็งแรงก็จะแสดงอาการที่ตา เช่น
  • เลือดในตับพร่องลง  จะทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตามัว มองไม่ชัด ตาบอดกลางคืน สายตาเสื่อม
  • ตับร้อนเกินไป         จะทำให้เกิดอาการตาบวมแดง ปวดตา เป็นแผลที่ตาดำ
  • ตับร้อน-ชื้นเกินไป   จะทำให้เกิดอาการตาเหลือง
  • ลมในตับ                จะทำให้เกิดอาการตาเข ตาเหลือกขึ้นบน
     ในทางกลับกัน การใช้สายตามากเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจ้องคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ติดต่อกันเป็นเวลานานย่อมจะส่งผลกระทบต่อตับ ทำให้เลือดในตับพร่องลง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพทั่วทั้งร่างกาย เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้าตาซีดเซียว ไม่มีเลือดฝาด นอนไม่หลับ ฝันบ่อย หาวนอนบ่อย เวียนศีรษะ หน้ามืด ปวดต้นคอ แขนขาชา แขนขายืดหดไม่สะดวก ประจำเดือนมาไม่ปกติ เป็นฝ้าบนหน้า ผิวหนังเหี่ยวย่น หยาบกร้าน ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นหวัดง่าย ผมแห้งหลุดร่วงง่าย เป็นต้น
    จากการศึกษาของการแพทย์ปัจจุบันพบว่า ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่มีการแผ่รังสีจะเสี่ยงต่อภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ทำให้อ่อนเพลีย มึนศีรษะ ตาแห้ง ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นหวัดง่าย คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทั้งหลายจึงกลายเป็นแดร็กคูล่า "ดูด" เลือดคุณทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว
   เมื่อมีการบำรุงเลือดเป็นประจำ อาหารทั้งหลายที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ก็จะค่อยๆ ทุเลาลงและอาจหายไปในที่สุด

ที่มา : Health Focus Enwei Health Balance

เชื้อโรคจากช้อนส้อม

เชื้อโรคจากช้อนส้อมต้องระวัง ทำป่วยได้ถ้าไม่สะอาดพอ !



เชื้อโรคจากช้อนส้อม อันตรายแค่ไหน
        การศึกษาจาก Ohio State University Center for Clinical and Translational Science เผยว่า ช้อน ส้อม และภาชนะบรรจุอาหารทั้งแบบสเตนเลส หรือพลาสติก มักจะเหลือคราบอาหารตกค้างอย่างพวกครีมหรือคราบจากนม และที่น่าตกใจก็คือ คราบตกค้างเหล่านี้ยังเต็มไปด้วยเชื้อ Norovirus ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสอันเป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 
        นอกจากนี้ช้อน ส้อมยังอาจมีเชื้อแบคทีเรีย เช่น E.coli และ Enterobacter spp. ที่เป็นตัวต้นเหตุของอาการอักเสบของระบบทางเดินอาหารอีกต่างหาก

ถ้าใช้ช้อน ส้อมไม่สะอาด จะทำให้ป่วยโรคอะไรได้บ้าง
        เชื้อโรคและแบคทีเรียจากช้อนและส้อมร้ายพอจะก่ออาการท้องร่วงเฉียบพลัน และทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงได้ โดยอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือหากร่างกายอ่อนแอ และได้รับเชื้อโรคหลายชนิดพร้อมกัน ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้เลยทีเดียว

ทำความสะอาดช้อนส้อมอย่างไรให้มั่นใจว่าปลอดภัยชัวร์ !
        นอกจากล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาปกติแล้ว อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังย้ำชัดมาว่า ควรนำช้อนส้อมไปฆ่าเชื้อโรคในน้ำร้อนที่อุณภูมิ 77 องศาเซลเซียสขึ้นไป โดยใช้เวลาลวกนาน 15 วินาที และไม่ควรใช้หม้อหุงข้าวลวกช้อน-ส้อม เนื่องจากหม้อหุงข้าวไม่สามารถต้มน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 77 องศาเซลเซียสได้ และหากนำช้อนส้อมไปลวกน้ำร้อนที่อุณหภูมิต่ำกว่านี้ จะยิ่งเป็นการเพิ่มเชื้อโรคให้เยอะขึ้น เพราะเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดีในสิ่งแวดล้อมที่มีอุณหภูมิราว ๆ 40-50 องศาเซลเซียส 
        ถ้าไม่มั่นใจในความสะอาดของช้อนส้อมที่เราหยิบมาใช้ ก็อย่าลืมลวกช้อนส้อมด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 77 องศาเซลเซียสนะคะ และควรสังเกตด้วยว่าน้ำที่ใช้ลวกสะอาดใส ไม่ขุ่นมัว นอกจากนี้ยังควรสังเกตความสะอาดของตัวช้อนและส้อมว่าไม่มีเศษอาหารตกค้างด้วย


ที่มา: http://health.kapook.com/view133906.html

พฤติกรรมแย่ๆ ที่ควรระงับ เวลาโกรธ!

พฤติกรรมแย่ๆ ที่ควรระงับ เวลาโกรธ!

 

                ห้ามอะไรก็ห้ามได้ แต่ห้ามทำพฤติกรรมแย่ๆ เวลาโกรธอยู่นี่สิ เป็นเรื่องยากยิ่งนัก ก็เข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำยาก แต่ลองอ่านดูหน่อยแล้วจำไว้ให้แม่นๆ หากโกรธขึ้นมาเลี่ยงที่จะทำนิสัยเหล่านี้จะดีกว่า
1. ระบายอารมณ์บนโลกโซเชียล
      เห็นมานักต่อนักแล้ว เรื่องราวแย่ๆ ที่ถูกเด้งขึ้นมาบนโซเชียลช่องทางต่างๆ ด้วยความโมโหคุณอาจไม่รู้ตัว ว่าโพสข้อความอะไรลงไปบ้าง โพสแล้วลบ ก็ไม่ใช่ทางออกที่ถูก เพราะการโพสเรื่องราวลงบนโซเชียลเพียงไม่กี่วินาที คนที่รับรู้อาจจะเป็นหลักร้อย หลักสิบเลยก็ได้ จุดนั้นไม่ใช่การระบายอารมณ์ที่ถูกที่ถูกทาง เพราะมันจะทำให้คุณถูกมองในแง่ลบได้เช่นกันนะคะ
2. อย่าริขับรถ
      มีข้อมูลจากการวิจัยพบว่าผู้ขับขี่ที่อยู่ในอารมณ์โกรธ มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุบนถนนสูงมากๆ เพราะฉะนั้นขณะโกรธ ลองหาที่พักอารมณ์ จอดรถพักหาอะไรดื่มให้เย็นกายเย็นใจก่อนค่ะ
3. ห้ามเถียงกัน
      ก่อนจะพูดอะไรออกไป ควรคิดๆๆ และก็คิดให้ดีเสียก่อน ทางที่ดิ หากคุณกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ ให้เดินหนีออกมาซะ อารมณ์ดีเมื่อไหร่ ค่อยกลับมาเคลียร์กันจะดีที่สุดค่ะ
4. หยุดประชดตัวเอง
      เห็นบ่อยๆ อีกเช่นกัน เวลาเครียด โมโห โกรธ หรือสิ่งใดๆ ทางออกสุดฮอตเห็นจะหนีไม่พ้นวิธีการดื่มให้ลืมเธอ ดื่มให้หายเครียด จากคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ ก็หันมาสูบ ซึ่งจุดนั้นเป็นการประชดตัวเองที่สิ้นคิดมากๆ เลย มันกลายเป็นการทำร้ายตัวเองเข้าไปอีกนะ
5. เล่าสู่กันฟังกับคนอื่น
      ข้อดีเมื่อยามที่คุณรู้สึกอึดอัดแล้วเล่าให้คนอื่นฟัง คือการได้ระบาย เป็นการทำให้คลายความเครียดได้ แต่ถ้าหากเรื่องไม่ดีของคุณถูกนำไปพูดต่อ แบบปากต่อปาก คนที่จะเสียประโยชน์ ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือคุณเองนะคะ


ที่มา: http://women.thaiza.comพฤติกรรมแย่ๆ-ที่ควรระงับ-เวลาโกรธ-/306892/      

โรคมิวรีนไทฟัส

ระวัง! มิวรีนไทฟัสโรคที่แฝงมากับความน่ารัก


                “แมวสัตว์เลี้ยงประจำบ้านที่มีนิสัยขี้อ้อนชอบคลอเคลียชวนให้คนรักแมวอดไม่ได้ที่จะอุ้มมาเล่นคลุกคลีหรือกอดไว้ แต่อันที่จริงเสน่ห์ของแมวที่ดึงดูดให้เราเข้าใกล้ อาจเป็นกับดักของ โรคมิวรีนไทฟัส” หรือ โรคไข้รากสาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่มีหมัดแมว หรือหมัดหนูเป็นพาหะนำโรค แม้อาการของโรคจะไม่น่ากังวล แต่ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจทำให้เสียชีวิตได้
 
การติดต่อ
โรคมิวรีนไทฟัส เกิดจากเชื้อริกเก็ตเซีย (Rickettsia typhi) มีตัวหมัดจากแมวหรือหนูเป็นพาหะนำโรค เมื่อหมัดกัดและดูดเลือด หมัดจะถ่ายมูลที่มีเชื้อไว้บนรอยแผล หากเผลอเกาหรือถู จะทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย
 
อาการ
อาการของโรคจะเริ่มแสดงให้เห็นหลัง 1-2 สัปดาห์ นับจากวันที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อ โดยอาการที่สังเกตได้ คือ


·         มีไข้สูง
·         ปวดศีรษะมาก
·         ปวดเมื่อยตามตัว
·         มีผื่นแดงแบนราบตามตัวและต้นขา หลังมีไข้สูง 3-5  วัน

การรักษา
หากพบว่าตนเองมีไข้สูง และมีอาการอื่นๆดังที่กล่าวมาข้างต้น ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษา โรคนี้สามารถรักษาได้ผลดีด้วยการทานยาปฏิชีวนะ
 
การป้องกัน
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน คนที่เลี้ยงแมวในบ้าน ควรดูแลสุขอนามัย เพื่อห่างไกลโรคมิวรีนไทฟัส


·         ควรหมั่นดูแลความสะอาดบ้าน ไม่ให้เป็นที่ซุกหรือแหล่งสะสมของหมัดแมว
·         ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกัน เห็บ หมัด เป็นประจำ


ที่มา: http://www.siphhospital.com/th/news/article-details.php?id=79

ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)

ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)


         โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี พบระบาดเป็นครั้งแรกในประเทศฟิลิปปินส์ ในปี พศ. 2497 จากนั้นพบมีการระบาดครั้งแรกในประเทศไทย ในปี พศ. 2501 และจะระบาดทุกปีในช่วงฤดูฝน คือ ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ยุงลายจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีจากคนที่ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกและแพร่ไปสู่คนอื่น ๆ โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุด ได้แก่เด็กอายุ 5-14 ปี  ซึ่งหลังหายแล้วผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันไม่ให้เป็นไข้เลือดออกทั้ง4 สายพันธุ์ประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ที่เป็นจะมีอยู่ตลอดไป ส่วนภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นจะหมดไปหลังจาก 1 ปี หากมีการติดเชื้อครั้งที่ 2 จากสายพันธุ์ที่ต่างไปจากครั้งแรก อาจเป็นไข้เลือดออกที่รุนแรงได้… SiPH นำเอาความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกมาแบ่งปันดูแลสุขภาพตนเอง และคนที่คุณรัก




ที่มา: http://www.siphhospital.com/th/news/news-details.php?id=99